แป้งข้าวเจ้า หรือบางทีก็เรียกว่า แป้งญวณ ทำมาจาก เมล็ดข้าวจ้าว จับแล้วสากมือ เมื่อใช้มือสัมผัสจะมีความหยาบเล็กน้อย แต่สากมือกว่าแป้งสาลี พอทำให้สุกแล้วตัวแป้งจะมีสีขาวขุ่น จับตัวกันเป็นก้อน เหมาะสำหรับนำไปทำอาหารที่ต้องการความอยู่ตัว เนื้อขนมจะมีความแข็งร่วน ขนมชั้นใบเตยขนมชั้นทำจากแป้งข้าวเจ้า ใส่น้ำใบเตยเข้มข้น และกลิ่นมะลิ เติมความหวานจากน้ำตาลทราย หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมสวยงาม ส่วนผสม ขนมชั้น
1. ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น 2. นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้ 3. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งท้าวยายม่อมเข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง 4. แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้ 5. ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้าย ให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง) 6. นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ สุดยอด เครื่องรีดแป้ง ผลิตจากวัสดุ 304 รีดแป้งได้มากมายทั้ง รีดแป้งขนมปัง แป้งพาย แป้งครัวซองต์ ให้มีขนาดความ หนา/บาง ตามที่กำหนดได้ ราคาเริ่มต้น 76,500 มีให้เลือก 2 ขนาด ขนมครกวิธีทำขนมครก ใส่แป้งข้าวเจ้า มาพร้อมวิธีทำแป้งและหน้ากะทิ โรยหน้าด้วยต้นหอม เผือก หรือข้าวโพดตามชอบ ส่วนผสม แป้งขนมครก
ขนมสอดไส้ หรือขนมใส่ไส้หาซื้ออร่อย ๆ ยากลองทำกินเองกันเถอะ ขนมใส่ไส้ใส่แป้งข้าวเจ้า มาพร้อมวิธีทำแป้งและไส้หอมอร่อย จะห่อด้วยกระทง รสชาติอร่อยจนหยุดทานไม่ได้
ส่วนผสม
0 Comments
ไดฟูกุ นั้นถือว่าเป็นขนมแห่งความโชคดีเพราะไดในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ใหญ่ ส่วน ฟูกุนั้น เเปลว่าโชคดี รวมกันก็คือ ทั้งใหญ่ ทั้งดี ไอเจ้าขนมนี้มันทำไมฮิตจัง เรามาลองดูวิธีการทำที่เอามาฝากก่อนกันดีกว่า โดยเฉพาะเมนูสุดท้าย มันจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ จากที่เคยกินไดฟูกุถั่วแดง ขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น เคี้ยวหนึบหนับ ลองเพิ่มออปชั่นอย่างสตรอว์เบอร์รีลงไปก็ดูเก๋ดีนะคะ กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำไดฟูกุสตรอว์เบอร์รี สูตรจาก คุณสมาชิกหมายเลข 3128333 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม แป้งไดฟูกุผสมชาเขียว สอดไส้สตรอว์เบอร์รีกับถั่วแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อหนึบอร่อย ลูกเดียวไม่พอบอกเลย ไดฟูกุสตรอว์เบอร์รี (Daifuku Strawberry หรือ Japanese Mochi)
วิธีทำ STEP 1 : ห่อสตรอว์เบอร์รี นำถั่วแดงมาต้มจนนิ่ม จากนั้นปั่นให้ละเอียดแล้วนำไปกวน เพิ่มความหวานให้ไส้ขนมไดฟูกุด้วยน้ำตาลแล้วกวนให้เหนียว พักไว้ให้เย็น แล้วนำไปห่อสตรอว์เบอร์รีให้มิด STEP 2 : กวนแป้งไดฟูกุ นำแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และน้ำสะอาด ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปกวนให้เหนียวประมา 5 นาที พอแป้งเหนียวก็ยกลงจากเตาเทแป้งที่กวนไว้ลงในถาดที่มีแป้งมันรองอยู่แบ่งให้เป็นก้อนเท่า ๆ กัน แค่นี้ก็ได้แป้งไดฟูกุแล้ว STEP 3 : ประกอบร่างไดฟูกุ นำก้อนแป้งไดฟูกุที่แบ่งไว้มากดให้เป็นแผ่นแล้วห่อถั่วแดงให้มิด เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ “ไดฟูกุสตรอว์เบอร์รีถั่วแดง” สูตรจาก wongnai.com เมนู “ไดฟูกุสตรอเบอร์รีถั่วแดง” ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ? แถมหน้าตายังน่ากินอีกด้วย ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนทำเมนูนี้แล้วก็อย่าลืมแชร์รูปมาให้แบมดูกันบ้างนะคะ แบมรออยู่นะ!ใครอยากหาเครื่องดื่มมากินคู่กันก็ต้องลองจัดพิธีชงชาเขียวมัทฉะกันสักหน่อย เข้ากันกับขนมไดฟูกุของเรามาก ๆ เลยละค่ะ แต่ถ้าอยากได้ฟีลญี่ปุ่นแบบไทย ๆ ดูบ้าง ก็สามารถลองไปดูสูตรขนมโตเกียวสุดฮิตเพิ่มเติมกันได้เลยนะคะ เมนูหน้าจะเป็นอะไรก็อย่าลืมติดตามกันน้าา แล้วเจอกันค่าา ไดฟูกุ กัญชาตาหวานวัตถุดิบ
แนะนำ เครื่องผสมอาหาร ที่จะช่วยให้การทำไดฟูกุเป็นเรื่องง่ายไปเลย เพียงแค่มี เครื่องผสมอาหารของ SGE ที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 990 ไปจนถึงหลัก หมื่น หรือ ระดับอุตสาหกรรม เครื่องผสมอาหาร จาก SGE มีคนใช้มากมาย มั่นใจได้เลยว่าหากมีปัญหา ซ่อมได้ไม่มีปัญหา อะไหล่ไม่มี หรือ บริการหลังการขายแน่นอน ไดฟูกุ ใส้มะม่วงถั่วทองวัตถุดิบ
วิธีทำ
จะมีอะไรดีไปกว่ากิน ไอศกรีมแท่ง เย็น ๆ สักถ้วยให้ชื่นใจ ในช่วง Summer และอากาศร้อนๆแบบนี้ แต่จะออกไปซื้อกิน ช่วงนี้ Covid-19 ก็ยังไม่จางหาย หลายคนก็คงไม่อยากจะออกจากบ้าน จะดีแค่ไหนถ้ามีไอศกรีมหวาน ๆ เย็น ๆ ติดตู้เย็นเอาไว้กินยามร่างกายอ่อนเพลียจากการทำงาน ถ้าซื้อกินก็ไม่อร่อยเท่าทำเอง จริง ๆ นะ จากที่เคยทำเมนูไอศกรีมแบบตัก แม้จะอร่อยแต่เดินถือกินไม่สะดวกเท่าไร ลองเปลี่ยนมาทำไอศกรีมเสียบไม้บ้างดีไหม แอดมิน ขอนำเสนอวิธีทำไอศกรีมแท่ง มีทั้งไอศกรีมผลไม้ ไอศกรีมโยเกิร์ต ไอศกรีมกราโนลา ไอศกรีมโบราณ เป็นต้น ทุกสูตรทำง่าย ไปดูสูตรกันเลย ไอศกรีมแท่งชาเขียวถั่วแดง (Green Tea Popsicles) มาเริ่มต้นความเย็นชุ่มฉ่ำกันด้วย ไอศกรีมแท่ง ชาเขียวสไตล์ญี่ปุ่น ที่ใครจะไปรู้ว่าไม่ต้องมีเครื่องทำไอศกรีมก็สามารถทำได้ด้วย ลดสเกลความยากลงมาหน่อย เปิดประเดิมด้วยไอศกรีมแท่งชาเขียวเนื้อเข้มข้นหวานมันแถมยังแอบซ่อนถั่วแดงกวนเอาไว้ด้านล่าง ได้อารมณ์เหมือนญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่สำคัญทำง่ายมาก รีบไปขุดเอาพิมพ์ไอศกรีมแท่งมาล้างรอไว้ได้เลย สูตรจากเฟซบุ๊ก Rin Silpachai ไปดูส่วนผสมกันเลยค่ะ ส่วนผสม
แนะนำ เครื่องทำไอศกรีม ( Ice cream maker )ที่มีกำลังการผลิตที่สูงสุดในขณะนี้ โดยมีกำลังการผลิตสูงถึง 26 ลิตร/ชั่วโมง มีทั้งแบบ 1 หัว และ 3 หัว ทำไอศกรีมทั้งแบบ Hard Serve, Soft Serve ราคาเริ่มเพียง 39,900฿ ไอศกรีมแท่ง ผลไม้สดเมนูนี้เอาใจสาว ๆสุดๆเลยค่ะ ใครที่ไม่อยากกิน ไอศกรีมแท่ง ที่มีส่วนผสมของไขมันนมเนยให้ระคายหุ่นก็ต้องเจอนี่ ไอศกรีมแท่งผลไม้สด ตอบโจทย์ทั้งความสดชื่น ดับร้อน อร่อย ได้ประโยชน์ และที่สำคัญคือ แคลอรีต่ำมาก ๆ กัดคำเดียวเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ สูตรจาก คุณ MMW สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ส่วนผสม
ไอศกรีมแท่งกล้วยบวชชีใครจะไปเชื่อว่ากล้วยบวชชีจะมาทำเป็นไอศกรีมได้ด้วย ขอบอกเลยว่า อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ คราวหน้าคราวหลังถ้าซื้อกล้วยบวชชีมาแล้วกินไม่หมด แนะนำให้จับมาทำไอศกรีมแท่งชิ้นจิ๋วเก๋ ๆ แบบนี้ดู เปลี่ยนขนมไทยบ้าน ๆ ให้กลายเป็นขนมอินเตอร์ ๆ รับรองว่าไม่ซ้ำใครแน่นอน สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน
ไอศกรีมแท่ง โยเกิร์ตขอปิดท้ายด้วยเมนู ไอศกรีมแท่ง จิ๋ว ๆ น่ารัก ๆ ที่ทำง่าย ๆ สีสันสดใส หอมละมุนแต่แอบแฝงไปด้วยความเปรี้ยวให้ได้เข็ดฟันกันเบา ๆ แถมยังเอาใจสาว ๆ ที่ควบคุมน้ำหนัก เพราะเป็นโยเกิร์ตทั้งแท่ง อร่อยชื่นใจ เอาใจสาวๆมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน
วันนี้มีสูตรการทำขนมเปี๊ยะไข่เค็มลาวามาฝากกันค่ะ เมนูขนมเปี๊ยะไข่เค็มลาวา สูตรแป้งนุ่มพ่วงสูตรไส้ครีมไข่เค็มลาวาไหลเยิ้ม และวิธีทำไข่แดงทาหน้าขนม เปิดร้านกันเลยกำไรดีมาก โดยวิธีทำมาพร้อมวิธีทำแป้งชั้นนอกและแป้งชั้นในห่อไส้ครีมไข่เค็มลาวา และทาไข่แดงเพิ่มความสวยงาม พออบเสร็จเอาไปขายได้เลยจ้า ประวัติของ ขนมเปี๊ยะลาวาไข่เค็มตามตำนานของคนจีนในเรื่อง ขนมเปี๊ยะ มีการเล่าต่อเรื่องราวมาอย่างหลากหลาย แต่เนื้อเรื่องที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ เรื่องของคู่สามี-ภรรยาที่เมื่อแต่งงานกันแล้ว พ่อสามีเกิดล้มป่วยหนักและฐานะทางบ้านก็ยากจนทำให้ไม่มีเงินรักษา สามีภรรยาคู่นี้จึงตอบแทนความกตัญญูด้วยการนำตัวเองไปขายเป็นทาสเพื่อนำเงินมารักษาพ่อสามี จากนั้นทางฝั่งสามีจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไถ่ตัวภรรยา จึงได้ทำขนมเปี๊ยะออกขายเพราะสามีเป็นผู้ที่มีฝีมือด้านทำขนมเปี๊ยะมากที่สุด ขนมเปี๊ยะมีรสชาติดีทำให้มีผู้คนอุดหนุนและบอกต่อให้มาซื้อเพื่อช่วยเหลือสามีคนนี้จนสามารถไถ่ตัวภรรยาออกมาได้ จึงถูกเรียกว่าขนม “เหล่าผั่วเปี๊ยะ” ตำนานที่สองกล่าวว่า มีชายคนหนึ่งเดินทางออกจากบ้านไปทำงานอยู่ที่กวางโจว เมื่อครั้นจะกลับบ้านภรรยาได้ยินข่าวจึงคิดทำขนมเปี๊ยะออกมาเพื่อจะเอาใจสามี เมื่อสามีได้ทานถึงกับกล่าวว่ามันวิเศษมาก และก่อนที่จะเดินทางกลับไปทำงานจึงขอให้ภรรยาทำขึ้นมาเพื่อจะนำไปฝากเจ้านายและเพื่อนๆ เมื่อเจ้านายและเพื่อนๆได้ลิ้มรส ก็ทำให้เกิดการติดอกติดใจและเกิดการบอกต่อเป็นตำนานจนได้ชื่อว่า “เตี่ยจิวเหล่าผ่อเปี๊ยะ” ความหมายของขนมเปี๊ยะขนมเปี๊ยะ (餅) เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ความปรารถนาดีต่อกัน และความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งความหมายของขนมเปี๊ยะในเทศกาลต่างๆ คือ ความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ และความสมหวัง เป็นขนมแห่งความสิริมงคลสื่อถึงความปรารถนาดีระหว่างผู้รับและผู้ให้ ทั้งยังเป็นขนมที่แสดงถึงความสามัคคีกันเพราะในเทศกาลต่าง ๆ ชาวจีนส่วนใหญ่มักจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวกินขนมเปี๊ยะเพื่อให้เกิดสิริมงคลและนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนเอง ครอบครัว ธุรกิจและกิจการ ชาวจีนจึงมีความเชื่อสืบทอดต่อกันมาว่าในปีหนึ่ง ๆ มักจะมีสิ่งเลวร้าย เรื่องไม่ดีไม่งาม เรื่องอัปมงคลมากระทบ หรือรบกวนการดำเนินชีวิตจนทำให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ ขึ้น เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย เงินทองไม่คล่อง ทำอะไรก็พบแต่ความยุ่งยาก ทำให้รู้ได้ว่า “ดวงชะตาชีวิต” ไม่ดีนักจึงต้องมีการขวนขวายหาที่พึ่งจึงก่อให้เกิดการไหว้เจ้า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การไหว้บรรพบุรุษและประเพณีอื่น ๆ ขึ้น บนโต๊ะเซ่นไหว้จะประกอบไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ ที่มีความหมายต่าง ๆ กัน ขนมเปี๊ยะจะมีอักษรมงคลสีแดงประทับอยู่กลางขนม แต่ในปัจจุบันนี้พฤติกรรมการซื้อขนมเปี๊ยะนั้นได้เปลี่ยนแปลงแล้ว ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อขนมเปี๊ยะเพียงเพื่อไหว้เจ้าเท่านั้น แต่ผู้บริโภคยังซื้อขนมเปี๊ยะเพื่อเป็นของฝากและเพื่อการบริโภคอีกด้วย ขนมเปี๊ยะไข่เค็มลาวา สูตรขนมสร้างอาชีพอย่างที่รู้กันดีว่าเมนูขนมเปี๊ยะทั่วไป เช่น ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ขนมเปี๊ยะไส้เผือก หรือขนมเปี๊ยะไส้มันม่วงใคร ๆ ก็ทำขาย ลองเปลี่ยนมาทำไส้ลาวากันไหม เพราะฉะนั้นเราขอนำเสนอวิธีทำขนมเปี๊ยะไข่เค็มลาวา สูตรจาก คุณศิริกัญ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาพร้อมวิธีทำแป้งชั้นนอกและแป้งชั้นในห่อไส้ครีมไข่เค็มลาวา และทาไข่แดงเพิ่มความสวยงาม อบเสร็จก็เอาไปขายได้เลยค่ะ ง่ายมากๆไม่ต้องไปซื้อกินอีกต่อไปแล้ว ส่วนผสม ไส้ไข่เค็มลาวา ไข่เค็มแดงสุก 18 ฟอง (นำไปเวฟ 1 นาที หรือนำไปนึ่ง) วิปปิ้งครีม 250 กรัม นมข้นหวาน 100 กรัม กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา ผงคัสตาร์ด 50 กรัม เนยเค็มละลาย 70 กรัม ส่วนผสม แป้งชั้นใน แป้งอเนกประสงค์ (ตราว่าว) 70 กรัม แป้งเค้ก 30 กรัม น้ำมันพืช 20 กรัม เนยรำข้าว 20 กรัม ส่วนผสม แป้งชั้นนอก แป้งอเนกประสงค์ (ตราว่าว) 120 กรัม แป้งเค้ก 80 กรัม น้ำตาลทราย 35 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา เนยรำข้าว 25 กรัม น้ำมันพืช 25 กรัม น้ำเปล่า 75 กรัม ส่วนผสม ไข่แดงทาหน้าขนม ไข่แดง 1 ฟอง สีผสมอาหารสีเหลือง 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1/2 ช้อนชา น้ำมันพืช 3-4 หยด และ งาขาวคั่ว ขั้นตอนที่ 1 : วิธีทำไส้ไข่เค็มลาวา นำไข่เค็มแดงไปนึ่งหรือเข้าไมโครเวฟให้สุก แล้วนำมาบดหยาบ ๆ 👉 นำส่วนผสมทั้งหมดใส่โถปั่นให้ละเอียด 👉 ปั่นส่วนผสมเสร็จแล้วเทใส่กล่องปิดฝา นำไปแช่ช่องแข็งข้ามคืน 👉 หลังจากแช่แข็งข้ามคืนเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นใช้ที่ตักไอศกรีม ปั้นเป็นลูก ๆ ขนาด 23 -25 กรัม ประมาณ 28-29 ลูก นำไส้ที่เราปั้นเสร็จแล้วไปแช่ช่องแข็งอีก 30 นาที หลังจากนั้นก็นำมาห่อได้เลยค่ะ ขั้นตอนที่ 2 : วิธีทำไข่แดงสำหรับทาหน้าขนม ผสมไข่แดง หยดสีผสมอาหารสีเหลือง เติมน้ำเปล่า ใส่น้ำมันพืช คนให้เข้ากัน ขั้นตอนที่ 3 : วิธีทำแป้งขนมเปี๊ยะ
แนะนำ เครื่องทำป๊อปคอร์น ทำความร้อนสูงสุด 260 องศาเซลเซียส มีทังรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ แข็งแรง เคลื่อนย้ายได้สะดวก หม้อขนาด 8 ออนซ์ / หม้อขนาด 12 ออนซ์ เครื่องทำป๊อปคอร์น SGE ใช้เวลาในการอบข้าวโพดอบเร็วเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น ดีไซน์สวยงาม เพราะกับตั้งขายตามตลาด หรือตามห้างเป็นที่ถึงดูดแน่นอน เช็คโปรโมชั่น เครื่องทำป๊อปคอร์น https://www.sgethai.com/popcorn-machine
หากใครตามหาสูตรการทำ พานาคอตต้า ที่สามารถทำทานเองได้ที่บ้าน โดยที่ไม่ต้องไปร้านคาเฟ่ เพื่อซื้อทานในราคาแพง SGE มีวิธีการทำมาฝาก พร้อมสูตรสุดครีเอท ที่จะทำให้พานาคอตต้าของคุณไม่เหมือนใคร หากพร้อมทำกันแล้ว ผูกผ้ากันเปื้อนให้แน่น แล้วมาลุยกันเลย ประวัติความเป็นมา พานาคอตต้า ไม่ได้มีหลักฐานบันทึกประวัติความเป็นมาใน ตำราอาหารอิตาเลี่ยน ในช่วงก่อนคริสต์ทศวรรษที่ 1960 แต่ถูกอ้างว่าเป็นขนมสูตรดั้งเดิมของแคว้นพีดมอนต์ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ถูกบันทึกในรายชื่อผลิตภัณฑ์อาหารดั้งเดิมของแคว้น มีเนื้อหาว่าสูตรดั้งเดิมนั้นต้องมีการใส่บรั่นดีลูกท้อ และจัดเสิร์ฟแบบไม่มีซอส หรือเครื่องอื่น ๆ ทั้งยังมีเรื่องเล่าถึงที่มาของ เบเกอรี่ ชิ้นนี้ว่า ถูกคิดค้นโดยหญิงสาวชาวฮังการีในแถบลันเกในต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ประโยชน์ของ พานาคอตต้า การรับประทาน พานาคอตต้า นอกจะได้รับความอร่อยแสนสดชื่นแล้ว ยังได้รับประโยชน์ที่มากมายจาก วัตถุดิบคุณภาพ ที่เลือกใช้ ยกตัวอย่าง เจลาตินที่อุดมไปด้วยโปรตีน และกรดอะมิโนหลายชนิดที่ดีต่อร่างกาย ช่วยในเรื่องการซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มคอลลาเจนในข้อต่อ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง บำรุงสมอง ผิว และเส้นผม ทั้งยังเหมาะกับคนที่กำลังทาน อาหารควบคุมน้ำหนัก และน้ำตาล รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากผลไม้นา ๆ ชนิดอีกด้วย พานาคอตต้าสตรอว์เบอร์รี่ พานาคอตต้า สตรอว์เบอร์รี่ ถือเป็นรสชาติยอดฮิตที่คนนิยมทานมากที่สุด เพราะด้วยมีทั้งรสชาติเปรี้ยวและหวาน อยู่ในผลไม้เดียว แถมยังมีสีแดงซึ่งตัดกับเนื้อพุดดิ้งสีขาว เมื่อทำออกมาแล้ว จึงมีความสวยงามน่ารับประทานมาก ๆ เรียกได้ว่า กินก็อร่อย ถ่ายรูปออกมาก็สวย ส่วนผสมซอสสตรอว์เบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ 200 กรัม น้ำตาลทราย 80 กรัม ส่วนผสมพานาคอตต้า วิปปิ้งครีม 100 กรัม (สำหรับต้ม) น้ำตาล 22 กรัม เจลาติน 1 ช้อนชา น้ำ 15 กรัม กลิ่นวานิลา 1/2 ช้อนชา วิปปิ้งครีม 100 กรัม วิธีทำซอสสตรอว์เบอร์รี่ ใส่สตรอเบอร์รี่ 200 กรัม ลงในหม้อ แล้วเทน้ำตาลทราย 80 กรัมลงไป ตั้งไฟใช้ไฟกลาง ค่อย ๆ ต้มและเคี่ยว ใช้ช้อนคนเรื่อย ๆ และบี้ เพื่อให้เนื้อสตรอว์เบอร์รี่นิ่ม ละลายเข้ากันกับน้ำตาล ใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที (ถ้าเป็นสตรอเบอร์รี่แห้ง ให้ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นแบบแช่แข็ง ไม่ต้องใส่น้ำเพิ่ม) ใช้เครื่องปั่น ปั่นเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ในหม้อให้ละเอียด เสร็จแล้ว พักไว้ให้เย็น (ถ้าอยากให้มีเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ ไม่ต้องใช้เครื่องปั่น) วิธีทำพานาคอตต้า ใส่น้ำเย็น 15 กรัมลงในถ้วย แล้วใส่เจลาติน 1 ช้อนชา เสร็จแล้วพักทิ้งไว้ เตรียมหม้อต้ม ใส่วิปปิ้งครีมลงไป 100 กรัม น้ำตาล 22 กรัม เปิดไฟอ่อน ใช้ไม้พายซิลิโคน ค่อย ๆ คนให้น้ำตาลละลาย แล้วใส่กลิ่นวานิลา 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน พอเนื้อครีมร้อนดีแล้ว ให้ปิดเตา แล้วใส่เจลาตินที่อิ่มน้ำแล้วลงไป คนให้ละลายเข้ากันกับเนื้อครีม เสร็จแล้ววางพักไว้ ให้ครีมเย็นตัวลง ใส่วิปปิ้งครีม 100 กรัม ลงในชามผสม ใช้เครื่องตีแป้ง ตีวิปปิ้งครีม จนเนื้อครีมขึ้นฟู ให้พอตั้งยอดอ่อน โดยให้สังเกตว่า มีวิปปิ้งครีมจับตัวที่ปลายตะกร้อ และตั้งยอดอ่อนหรือไม่ ถ้ามียอดอ่อน แสดงว่าใช้ได้แล้ว ค่อย ๆ เทเนื้อครีมลงไปผสมกับวิปปิ้งครีม ทีละน้อย ๆ แล้วใช้ไม้พายคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เตรียมถ้วยขนาดเล็ก แล้วเทเนื้อครีมลงไป 3/4 ถ้วย จากนั้น นำซอสสตรอว์เบอร์รี่ หยอดไว้ด้านบน ตกแต่งด้วยใบมิ้นท์เล็กน้อย เป็นอันเสร็จ วิธีทำ “พานาคอตต้า ราสป์เบอร์รีซอส”ตัวพานาคอตต้าจะมีรสชาติหอมมัน หวานอ่อน ๆ นุ่มนิ่มเหมือนเป็นพุดดิ้งนมเลยละค่ะ กินคู่กับซอสราสป์เบอร์รีที่มีรสชาติเปรี้ยวนำ ตัดกับความมันของครีมได้ลงตัวสุด ๆ ฉพวัตถุดิบ ราสเบอร์รี่แช่แข็ง 200 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม (สำหรับทำซอส) วิปปิ้งครีม 360 กรัม น้ำตาลทราย 60 (สำหรับทำพานาคอตต้า) กรัม เจลาตินแช่น้ำ (ชนิดแผ่น) 2 แผ่น น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 120 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา วิธีทำ STEP 1 : ทำพานาคอตต้า แช่เจลาตินในน้ำเย็น พักไว้ ใส่วิปปิ้งครีม นมสด น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน เปิดไฟอ่อนตั้งไฟพอน้ำตาลละลาย ใส่วานิลลา และเจลาตินที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากันจนเจลาตินละลายดี จากนั้นนำไปกรองด้วยกระชอน ตักใส่ภาชนะ พักไว้ให้เย็นสนิท จากนั้นนำพาสติกแร๊ปปิดหน้าพานาคอตต้าของเราไว้(เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าขนมแห้ง) นำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา 2 ชั่วโมง STEP 2 : ทำซอสราสป์เบอร์รี ทำซอสราสเบอร์รี่โดยใส่ราสเบอร์รี่แช่แข็งและน้ำตาลลงไปในหม้อ เปิดไฟเบาตั้งไว้จนราชเบอร์รี่ละลายและเดือดเล็กน้อย พอซอสข้นได้ที่แล้วนำออกจากเตา เทใส่กระชอนกรองซอสให้ละเอียด และพักไว้ให้เย็น STEP 3 : จัดเสิร์ฟ นำพานาคอตต้าออกจากตู้เย็น ราดซอสราสเบอร์รี่ที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยผลไม้ตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ Cr.wongnai.com/recipes/panna-cotta-raspberry-sauce-homemade พานาคอตต้าบลูเบอร์รี่ นอกจากสตรอเบอร์รี่ที่นิยมนำมาทำ พานาคอตต้า ก็มีบลูเบอร์รี่นี่และ ที่เป็นขาประจำอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งด้วยรสชาติที่เปรี้ยว ทำให้ตัดรสกับพุดดิ้งนมสดได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจะให้อร่อย แนะนำให้ทำซอสแบบมีเนื้อบลูเบอร์รี่อยู่ด้วย จะช่วยเพิ่มรสสัมผัสและความอร่อยให้มากขึ้น ส่วนผสมซอสบลูเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ 150 กรัม น้ำตาลทราย 50 กรัม น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมพานาคอตต้า วิปปิ้งครีม 320 กรัม นมสด 140 กรัม น้ำตาลทราย 80 กรัม กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา เจลาติน 2 แผ่น น้ำเย็น วิธีทำซอสบลูเบอร์รี่ ใส่บลูเบอร์รี่ 150 กรัม ลงในหม้อ แล้วเทน้ำตาลทราย 50 กรัม น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ลงไป ตั้งไฟใช้ไฟกลาง ค่อย ๆ ต้มและเคี่ยว ใช้ช้อนคนเรื่อย ๆ และบี้ เพื่อให้เนื้อบลูเบอร์รี่นิ่ม ละลายเข้ากันกับน้ำตาล ใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที เสร็จแล้ว เทใส่ขวดโหล พักไว้ให้เย็น วิธีทำพานาคอตต้า ใส่น้ำเย็นลงในจาน นำเจลาติน 2 แผ่นมาแช่น้ำ เตรียมหม้อต้ม ใส่วิปปิ้งครีม 320 กรัม นมสด 140 กรัม น้ำตาลทราย 80 กรัม กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา ลงไป นำไปต้ม เปิดไฟกลาง ใช้ไม้พายซิลิโคน คนให้ส่วนผสมเข้ากัน และน้ำตาลละลายจนหมด พอร้อนได้ที่แล้ว ให้ปิดไฟ ยกหม้อลงได้ ใส่แผ่นเจลาติน 2 แผ่นที่แช่น้ำไว้ลงไป คนให้เจลาตินละลาย จากนั้น เทใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วใช้กระชอนกรองเอากากออก เทใส่แก้วเล็กที่เตรียมไว้ 3/4 ถ้วย จากนั้น นำไปแช่เย็น 2 – 3 ชั่วโมง ตักซอสบลูเบอร์รี่ที่เย็นแล้ว ไว้ด้านบนเนื้อครีม ตกแต่งด้วยใบไม้สีเขียว ไว้ด้านบนให้สวยงาม เป็นอันเสร็จ จำหน่าย เครื่องตีแป้ง / เครื่องผสมอาหาร ตั้งแต่ 5 - 10 ลิตร มีทั้งเครื่องตีแป้งแบบมือถือที่ราคาเริ่มที่ 990 จนถึง เครื่องผสมอาหารระดับอุตสาหกรรม โดยเครื่องตีแป้งประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า ที่เป็นมอเตอร์ทองแดง ทนทาน ปรับความเร็วได้หลายระดับ ในส่วนของ เครื่องตีแป้ง อุตสาหกรรรมมาพร้อมถังปั่นแสตนเลส 304 ขนาด 40-60 ลิตร ราคาไม่แพงอีกด้วย เช็คราคาและโปรโมชั่นเครื่องตีแป้ง พานาคอตต้า รสช็อกโกแลต ใครชอบทานช็อกโกแลต ห้ามพลาด กับ พานาคอตต้า สูตรช็อกโกแลต ที่ผสานรสชาติไว้ได้อย่างลงตัว โดยการนำเอาดาร์กช็อกโกแลตมาทำเป็นเนื้อครีม ซึ่งถ้าใครอยากตกแต่งให้สวยงาม สามารถใช้เครื่องตีแป้ง ตีวิปครีมให้ตั้งยอดอ่อน แล้วหยอดไว้เป็นชั้นบาง ๆ ด้านบน ตกแต่งด้วยผลไม้อย่าง สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ หรือช็อกโกแลต ก็ได้ตามชอบ ก็จะช่วยให้พานาคอตต้าแก้วนี้ มีรสชาติเพิ่มมากขึ้น
ส่วนผสม ดาร์กช็อกโกแลต 80 กรัม วิปปิ้งครีม 200 กรัม วิปปิ้งครีม (สำหรับตกแต่ง) นมสด 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 20 กรัม กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา เจลาติน 4 กรัม น้ำเย็น 1 ½ ช้อนโต๊ะ สตรอว์เบอร์รี่ คุกกี้ ใบมิ้นท์ วิธีทำ ใส่เจลาติน ลงในถ้วยขนาดเล็ก แล้วใส่น้ำเย็น 1 ½ ช้อนโต๊ะ ลงไป ให้เจลาตินอิ่มน้ำ เตรียมหม้อต้ม ใส่วิปปิ้งครีม 200 กรัม น้ำตาลทราย 20 กรัม กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา ลงไป แล้วนำไปต้ม เปิดไฟกลาง ใช้ไม้พายซิลิโคน คนให้ส่วนผสมเข้ากัน และน้ำตาลละลายจนหมด พอร้อนได้ที่ จนมีไอร้อนขึ้นมาแล้ว ให้ปิดไฟ ยกหม้อลงได้ ใส่เจลาติน ที่อิ่มน้ำแล้วลงไป ตามด้วยดาร์กช็อกโกแลต ที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ คนให้เจลาตินและดาร์กช็อกโกแลตละลาย จากนั้น เทนมสด 3 ช้อนโต๊ะลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้วเล็กที่เตรียมไว้ 3/4 ถ้วย จากนั้น นำไปแช่เย็น 2 – 3 ชั่วโมง ใช้ตะกร้อมือหรือเครื่องตีแป้ง ตีวิปครีมให้พอตั้งยอดอ่อน จากนั้น เทลงในแก้วเป็นชั้นบาง ๆ ตกแต่งด้วยสตรอเบอร์รี่ ใบมิ้นท์ และคุกกี้ ไว้ด้านบนให้สวยงาม เป็นอันเสร็จ ปังเย็น ของหวานเย็นชื่นใจอีกหนึ่งเมนู ที่ทุกคนชื่นชอบ ด้วยลักษณะที่เหมือนน้ำแข็งใส แต่ก็มีขนมปังเป็นวัตถุดิบหลัก ผสมผสานกับของทานเล่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเยลลี่ หรือ ขนมหวานหลากสีสัน ทำให้กลายเป็นเมนูยอดฮิตที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ชอบรับประทาน และแทบจะเป็นเมนูหนึ่งที่ร้านนมสดทุกร้านต้องมี วันนี้เราจะแจก สูตรวิธีทำ ปังเย็น ที่ไม่มีใครเคยแจกมาก่อนไปดูกันเลย ปังเย็นโกโก้ปังเย็นโกโก้ หรือที่ร้านส่วนใหญ่ มักตั้งชื่อว่า ปังเย็นภูเขาไฟ สามารถใช้เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านได้เลย เพราะเมื่อนำน้ำโกโก้มาปั่นกับน้ำแข็งแล้ว จะทำให้มีรสชาติเข้มข้นสุด ซึ่งพอมีท็อปปิ้งแบบจัดเต็มด้วยแล้ว รับรองว่า ใคร ๆ ก็จะหลงรักปังเย็นสูตรนี้แน่นอน ส่วนผสม
เตรียมถ้วยตวง ตักผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ ครีมเทียม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ใช้ช้อนคนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้น เทน้ำร้อนลงไปให้ได้ระดับ 150 มิลลิลิตร คนจนได้น้ำโกโก้เข้มข้น เทนมข้นหวาน 45 มิลลิลิตร นมข้นจืด 45 มิลลิลิตรลงไป คนให้เข้ากัน ใช้แก้ว 32 ออนซ์ ตักน้ำแข็งพูนแก้วใส่เครื่องปั่น แล้วเทน้ำโกโก้ลงไป ปั่นจนน้ำแข็งละเอียด ใส่ขนมปังลงในแก้ว เทน้ำแข็งปั่นลงไป ตักผงโอวัลตินตกแต่ง ตามด้วยท็อปปิ้งคือ โกโกครันช์ เวเฟอร์รสช้อกโกแลต ป็อกกี้ โอรีโอ้ บราวนี่หั่นชิ้น เยลลี่แดง ราดนมข้นหวาน ซอสท็อปปิ้งรสช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยเชอรี่แดง เป็นอันเสร็จ แนะนำ เครื่องทำบิงซู ของ SGE เพราะภายในตัวเครื่องสามารถปรับขนาดใบมีด ให้มีขนาดเล็กใหญ่ได้ตามต้องการ ทำให้สามารถทำของหวานเย็นได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บิงซู (Bingsu) คากิโกริ (Kakigori) เป่าปิง (Baobing) โดยตัว เครื่องทำบิงซู ยังมีกำลังผลิตมากถึง 90 กิโลกรัม/ชั่วโมง ปังเย็นไวท์มอลต์โอรีโอ้ น้ำไวท์มอลต์ กินธรรมดาว่าอร่อยแล้ว พอมาปั่นกับน้ำแข็ง ทานคู่กับขนมปังยิ่งอร่อยกว่า โดยเฉพาะเมื่อเพิ่มโอรีโอ้ลงไปด้วย ให้มีความกรุบกรอบเบา ๆ ก็จะช่วยเพิ่มรสสัมผัสให้มากขึ้น ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสูตร ปังเย็น ที่ไม่ควรพลาด ส่วนผสม ผงมอลต์ 100% 5 ช้อนโต๊ะ ผงสมูทตี้ 2 ช้อนโต๊ะ นมข้นหวาน 45 มิลลิลิตร น้ำร้อน 30 มิลลิลิตร น้ำแข็ง 2 ถ้วยตวง ขนมปังหั่นสี่เหลี่ยม โอรีโอ้ เวเฟอร์รสช็อกโกแลต ป็อกกี้ โกโก้ครันช์ วิธีทำ เตรียมถ้วยตวง ใส่ผงมอลต์ 100% 5 ช้อนโต๊ะ ผงสมูทตี้ 2 ช้อนโต๊ะ นมข้นหวาน 45 มิลลิลิตร น้ำร้อน 30 มิลลิลิตร จากนั้น คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักน้ำแข็ง 2 ถ้วยตวงใส่เครื่องปั่น ตามด้วยน้ำมอลต์ที่ผสมไว้ ปั่นให้เข้ากัน จนน้ำแข็งละเอียด ใส่โอรีโอ้ตามลงไป เปิดเครื่องปั่นเพียงแปบเดียว แล้วปิดเครื่อง เพื่อไม่ให้โอรีโอ้ละเอียดเกินไป จัดวางขนมปังในจานให้พูนสูง ๆ แล้วเทน้ำแข็งปั่นลงไป ท็อปปิ้งด้วยเวเฟอร์รสช็อกโกแลต ป็อกกี้ โอรีโอ้ โกโก้ครันช์ แล้วราดนมข้นหวาน เป็นอันเสร็จ ปังเย็นชาเขียว เอาใจสายชาเขียวกับ ปังเย็นชาเขียว ที่ยังคงได้รสของชาเขียวอย่างเข้มข้น ทานคู่กับท็อปปิ้งจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นขนมรสชาเขียวทั้งป็อกกี้ คิทแคต ตัดรสด้วยช็อกโกแลตอัดเม็ด นมสดอัดเม็ด รับรองว่า กินเพลินจนลืมอ้วนแน่นอน ส่วนผสม ผงชาเขียว 2 ช้อนโต๊ะ นมข้นหวาน 45 มิลลิลิตร น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ น้ำร้อน 150 มิลลิลิตร นมข้นจืด 45 มิลลิลิตร ครีมเทียม 2 ช้อนโต๊ะ แก้วถังขนาด 32 ออนซ์ น้ำแข็งพูนแก้ว 32 ออนซ์ ขนมปังแผ่นหั่นชิ้น ขนมวัฟเฟิล ป็อกกี้รสชาเขียว ช็อกโกแลตอัดเม็ด นมสดอัดเม็ด เยลลี่แดง คิทแคตชาเขียว ขนมโมโจ้ ซอสท็อปปิ้งรสคาราเมล วิธีทำ เตรียมถ้วยตวง ตักผงชาเขียว 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ถุงกรองชา จากนั้น เทน้ำร้อน 150 มิลลิลิตรลงไป กรองจนได้น้ำชาเขียวเข้มข้น ใส่ครีมเทียม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ใช้ช้อนคนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้น เทนมข้นหวาน 45 มิลลิลิตร นมข้นจืด 45 มิลลิลิตรลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ใช้แก้ว 32 ออนซ์ ตักน้ำแข็งพูนแก้วใส่เครื่องปั่น แล้วเทน้ำชาเขียวลงไป ปั่นจนน้ำแข็งละเอียด ใส่ขนมปังลงในแก้ว เทน้ำแข็งปั่นลงไป ตกแต่งด้วยท็อปปิ้งคือ ขนมวัฟเฟิล ป็อกกี้รสชาเขียว ช็อกโกแลตอัดเม็ด นมสดอัดเม็ด เยลลี่แดง คิทแคตชาเขียว ขนมโมโจ้ ราดนมข้นหวาน ซอสท็อปปิ้งรสคาราเมล เป็นอันเสร็จ ปังเย็น ชาไทย ด้วยความหวานหอมของ ชาไทย ทำให้ปังเย็นสูตรนี้ อร่อยไปอีกแบบ โดยถึงแม้ว่า ท็อปปิ้งจะไม่จัดเต็มมากนัก แต่ถ้าใครอยากเพิ่มให้มีสีสันและมีจุดขาย ก็สามารถเพิ่มได้ ไม่ว่าจะเป็นเวเฟอร์ เยลลี่ ป็อกกี้ หรือ เชอรี่แดง เอาที่ตามใจชอบได้เลย
ส่วนผสม ผงชาไทยสำเร็จรูป 1 ½ ช้อนโต๊ะ นมข้นหวาน 4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ น้ำร้อน 125 มิลลิลิตร นมข้นจืด 1 ช้อนโต๊ะ ขนมปังแผ่นบาง 2 แผ่น ช็อกโกแลตอัดเม็ด แก้วพลาสติก 16 ออนซ์ วิธีทำ หั่นขนมปังแผ่น ออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก เท่า ๆ กัน ทำน้ำชาเย็น โดยเตรียมถ้วยตวง ใส่ผงชาไทยสำเร็จรูปลงในถุงกรองชา ใส่น้ำร้อนลงไป เขย่าน้ำร้อนในถุงให้ใบชาโดนน้ำทั่ว ๆ จนน้ำใบชาที่เข้มข้นออกมา ใส่นมข้นหวาน 4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ ลงในถ้วยตวง คนให้เข้ากัน ใช้แก้วพลาสติก 16 ออนซ์ ตักน้ำแข็ง ใส่เครื่องปั่น เทน้ำชาไทยลงไป จากนั้น เปิดเครื่อง ปั่นให้น้ำแข็งละเอียด ใส่ขนมปังลงในแก้ว เทน้ำแข็งปั่นตามลงไป โรยช็อกโกแลตอัดเม็ด ราดนมข้นหวานไว้ด้านบน เป็นอันเสร็จ (สามารถเพิ่มท็อปปิ้งอื่น ๆ ได้ตามใจชอบ) ใคร ๆ ก็รู้ว่า คอร์นเฟล็กคาราเมล (Corn Flakes Caramel) อาหารว่างสุดโปรดที่มีวางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตมีราคาสูงใช่ย่อย ซื้อมากินทีหนึ่งก็ค่อย ๆ เล็มกินกลัวว่าจะหมด วันนี้แอดมินเลยมี วิธีทำคอร์นเฟล็กคาราเมล เก็บไว้กินเองกับกาแฟง่าย ๆ มาฝาก กรอบอร่อย เติมธัญพืชที่ตัวเองชอบใส่เข้าไปอีกหน่อย เก็บไว้กินเพลิน ๆ ตามต้องการ หรือปีใหม่นี้ใครยังไม่ได้เตรียมของขวัญก็ลองทำ คอร์นเฟล็ก คาราเมล ก็เก๋ไม่เบาเลยล่ะ แถมถ้าฝึกปรือฝีมือดี ๆ ทำขายได้สบาย ๆ เลยล่ะ รู้จักกับ คอนเฟลก (Corn Flakes) มาจากไหน!คอนเฟลก(Corn Flakes) เป็นอาหารเช้าที่มีไขมันต่ำ ทำมาจากธัญพืชหลายชนิด เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ฯลฯ บดเป็นแผ่นข้าวโพดอบแห้ง จนกรุบกรอบ โดยไม่ปรุงแต่งกลิ่น สี และความหวาน อุดมไปด้วยวิตามิน ไฟเบอร์ แร่ธาตุ และใยอาหารสูง นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าคู่กับนมสด และได้รับยกย่องว่า เป็นอาหารเช้ามากคุณค่า เพราะมาจากธัญพืชแบบเต็มเมล็ด (โฮลเกรน) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน ในปี ค.ศ.1894 ดร.จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อกก์ (Dr.John Harvey Kellogg ) คุณหมอในเมืองมิชิแกน และสมาชิกกลุ่มแอดแวนทิสต์ ได้นำธัญพืชต่าง ๆ มาทำเป็นอาหารให้คนไข้ โดยไม่ใส่แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และสารยาสูบ ปรากฏว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ก็จริง แต่รสชาติจืดชืดมาก นายซิลเวสเตอร์ เกรแฮม สมาชิกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนทำขนมปังกรอบ รวมถึงเคลล็อกก์ จึงคิดว่าต้องเติมรสชาติให้อาหารชนิดนี้ มีรสชาติให้ได้เรื่องได้ราวมากกว่านี้ แต่ระหว่างนั้นเคลล็อกก์ และ วิล คีธ เคลล็อกก์ น้องชาย บังเอิญลืมเมล็ดข้าวสาลีไว้บนเตา เมื่อกลับมาพบว่าเมล็ดข้าวสาลีเหี่ยวย่นไปแล้ว ด้วยความเสียดาย จึงยัดใส่ลงไปในเครื่องบดหวังยืดให้เป็นแผ่น ปรากฏว่าเมล็ดข้าวได้กลายเป็นเหมือนเกล็ดปิ้งแล้วรสชาติดีขึ้น พอไปเสิร์ฟให้คนไข้กิน ก็ได้รับคำชมถึงความอร่อย และได้รับความนิยมสูงมาก หลังจากนั้นจึงไปทดลองทำเมล็ดพืชอื่น ๆ เป็นเกล็ดบ้าง จนปัจจุบันได้มีการเติมน้ำตาล งา คาราเมล และผลไม้ตระกูลเบอร์รีต่าง ๆ ลงไปในคอร์นเฟลก เพื่อเพิ่มรสชาติและสารอาหารมากขึ้นนั่นเอง ส่วนผสม - เนย 3 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ - นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ - คาราเมลไซรัป 8 ช้อนโต๊ะ - น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะ - คอนเฟลก 250 กรัม - เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ - ลูกเกด - เมล็ดฝักทอง วิธีทำ 1.ตั้งหม้อด้วยไฟอ่อน ใส่เนยลงไปคนให้ละลายจนเดือด 2.ใส่ น้ำตาล นมข้นหวาน คาราเมลไซรัป และน้ำเปล่าลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนเป็นน้ำเชื่อม 3.ปิดเตาและก็คนไปเรื่อยๆ จนน้ำเชื่อมเริ่มอุ่น 4.เตรียมคอนเฟลก เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และลูกเกด หรือธัญพืชตามชอบ ใส่ในชามผสม 5.แบ่งน้ำเชื่อมคาราเมลทีละส่วน ค่อยๆ เทใส่คอนเฟลกทีละนิด แล้วคลุกเคล้าให้น้ำเชื่อมคาราเมลเคลือบทั่วคอนเฟลก เทคาราเมลสลับกับคลุกไปเรื่อยๆ จนหมด ในการทำคอนเฟลกควรเลือก เตาอบไฟฟ้า ที่เป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เคลือบสารป้องกันสนิม ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพื่อความปลอดภัยและทนทานต่อการใช้งาน เตาอบไฟฟ้า บางชนิดมีแค่ฟังก์ชั่นไฟล่างอย่างเดียว/ไฟบนอย่างเดียว ขณะที่บางชนิดเปิดไฟบน-ล่างพร้อมกันได้ ซึ่งจะมีผลต่อคอนเฟลกที่เราอบด้วย
|
นักเขียนWriter Neng Yu Archives
November 2022
Categories
All
|